อะไรก็ตามในชีวิต ถ้ามันง่ายไปหมดทุกอย่าง คงไม่เรียกว่าชีวิต ! เช่นเดียวกับความสำเร็จของคนๆ หนึ่ง กว่าจะเดินมาถึงจุดที่เรียกว่า “ประสบความสำเร็จ” ล้วนแล้วแต่ต้องผ่าน “การเรียนรู้” มาก่อน ใครจะคิดว่าชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ครอบครัวประสบปัญหาทางธุรกิจ ในวันที่เธอเกือบล้ม ก็ยังสามารถลุกขึ้นมาได้ด้วยความสามารถในตัวเอง เป็นนักศึกษาทุนพระราชทาน เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานด้านการโรงแรมในเกือบทุกตำแหน่ง และปัจจุบันมีธุรกิจของตัวเอง และสามารถสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับถูกใจกลุ่มคุณแม่รุ่นใหม่ ภายใต้แบรนด์ “Linlamoon” อะไรคือกุญแจสู่ความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ให้ยืนหนึ่งในใจลูกค้า “วิชรัตน์ วิวัฒน์บุญคุปต์” มีคำตอบ…
เน่-วิชรัตน์ วิวัฒน์บุญคุปต์ เล่าให้ฟังว่า หลังจากจบมัธยมศึกษาตอนปลาย มีความสนใจทางด้านภาษา ชอบการสื่อสารภาษาอังกฤษ จึงตัดสินใจเลือกเรียนหลักสูตรการจัดการโรงแรมและภัตตาคาร วิทยาลัยการท่องเที่ยวและการบริการ ม.รังสิต หลังจากเรียนไปได้ระยะหนึ่ง เรียกว่าชีวิตเหมือนจะกำลังไปได้ด้วยดี ได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่อยากเรียน ในคณะสาขาวิชาที่ชอบ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อทางครอบครัวได้บอกว่า ธุรกิจหลักของครอบครัวประสบปัญหา อาจจะไม่สามารถส่งเสียให้เรียนต่อได้ จึงตัดสินใจสมัครเพื่อคัดเลือกเป็นนักศึกษาทุนพระราชทาน เพื่อให้ตนเองได้มีโอกาสเรียนต่อ กระทั่งสามารถผ่านด่านการคัดเลือกต่างๆ และได้รับการคัดเลือกเป็นนักศึกษาทุนพระราชทาน เรียกว่า ชีวิตสามารถเดินไปต่อบนเส้นทางการเรียนรู้ได้เพราะโอกาสทางการศึกษาที่มหาวิทยาลัยรังสิตมอบให้
“วันที่พ่อเดินมาบอกว่าธุรกิจล่ม เจ๊งเลยนะ ! ไม่มีเงินส่งเรียนแล้ว ตอนนั้นก็คิดว่าจะทำยังไงดี เลยไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา ท่านเลยแนะนำว่าตอนนี้มหาวิทยาลัยมีทุนพระราชทานอยู่ ลองสมัครเข้าคัดเลือกดูมั้ย ซึ่งตอนนั้นเราก็รู้สึกว่ามันยากนะ มีคนสมัครเยอะมาก คัดเลือกเอาคณะละ 1 คนเท่านั้น เพราะไม่มีทางเลือก จึงตัดสินใจร่วมคัดเลือกดู ก็มีการสัมภาษณ์จากทางสำนักราชวังร่วมด้วย ขอบคุณ ม.รังสิต ที่ทำให้เราได้เรียนต่อ และสามารถนำความรู้มาใช้ในการทำงานและพัฒนาชีวิตต่อไปได้”
หลังเรียนจบปริญญาตรี ก็เริ่มทำงานทางด้านโรงแรมในหัวหิน โดยทำงานในตำแหน่ง Reservation ดูแลเรื่องการจองห้องพัก อยู่ที่สำนักงานในกรุงเทพฯ ทำอยู่ประมาณหนึ่งปี ผู้บริหารเริ่มเห็นแววว่าเรามีทักษะทางด้านการขาย จึงเริ่มเขยิบให้เราเป็นเซลล์ขายที่พัก ได้มีโอกาสในการดูแลรับจองกลุ่มทัวร์ของนักท่องเที่ยว ซึ่งในรายละเอียดงานเราไม่ได้พนักงานขายอย่างเดียว แต่ยังครอบคลุมไปถึงการดูแลความเรียบร้อยของโรงแรม ประสานงานกับทุกฝ่ายเพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจที่สุด ซึ่งต้องบอกว่าทักษะด้าน
การบริการเหล่านี้การเรียนการสอนในหลักสูตรการโรงแรมปูพื้นฐานมาให้เราเป็นอย่างดี ในรายละเอียดงานด้านต่างๆ ในวิชาชีพจริงเราก็สามารถนำมาปรับใช้ได้
“เรียนการโรงแรมที่ ม.รังสิต 4 ปี ที่นี่สอนเราตั้งแต่เรื่องเบสิก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานระดับล่างจนถึงระดับบน รวมไปถึงเรื่องของการบริหาร ซึ่งก่อนจะไปเรียนรู้เรื่องการบริหารเราต้องเรียนรู้ก่อนว่า แต่ละฝ่ายต้องทำงานอย่างไร ตอนฝึกงานเราก็ทำมาแล้วทุกอย่าง ตั้งแต่ฝ่ายแม่บ้าน (Housekeeping) ตรงนี้ทำให้เรารู้ว่าการเป็นแม่บ้านไม่ได้ง่ายนะ ต้องคอลโทรลว่าวันหนึ่ง ๆ จะต้องจัดการความเรียบร้อยอย่างไรบ้าง สมมติโรงแรมชั้นหนึ่งมี 30 ห้อง ต้องทำยังไงให้ห้องเสร็จทันก่อนที่ลูกค้าใหม่จะเช็คอินเข้ามา ซึ่งก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก เรียกว่า ทุกตำแหน่งงานมีความสำคัญเหมือนกันหมด”
หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการทำงานโรงแรมมาประมาณ 3 ปี จึงอยากลองเปลี่ยนแนวไปทำงานด้านการขายดูบ้าง จึงได้เริ่มงานใหม่ในตำแหน่งฝ่ายขายเฟอร์นิเจอร์ ทำอยู่ประมาณ 10 ปี ก็คิดว่าเราพร้อมแล้วสำหรับการเริ่มธุรกิจของตัวเอง จึงออกมาทำธุรกิจส่วนตัว โดยธุรกิจแรกคือ ธุรกิจรับเช่าพระเครื่อง และสิ่งที่เราสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้คือ เรื่องของการสร้างความแตกต่าง เรื่องของการทำการตลาด เรียกว่า เราถือว่าเป็นร้านเช่าพระร้านแรกๆ ที่เริ่มทำการตลาดออนไลน์ เพราะเริ่มเห็นแล้วว่าการทำตลาดออฟไลน์ไม่ได้ลูกค้าตามที่ต้องการและคนเริ่มทำเยอะแล้ว แต่ขณะนั้นการตลาดออนไลน์ในธุรกิจลักษณะนี้ยังไม่มีใครทำ โดยเราได้เริ่มทำการตลาดผ่าน Google Ads ซึ่งปรากฎว่ามีคนสนใจ และรู้จักเรามากขึ้น มีทั้งลูกค้าที่ไปที่หน้าร้าน และลูกค้าทางออนไลน์ เรียกว่าช่วงนั้นวันหนึ่งๆ ต้องให้ทีมงานวิ่ง 5-6 บ้าน เพราะด้วยความที่ธุรกิจพระเครื่องเป็นเรื่องของความศรัทธา บางคนไม่สะดวกที่จะเอาพระมาให้เราดูที่ร้าน เราจึงเกิดบริการที่หากลูกค้ามีพระสามารถถ่ายรูปส่งมาทางไลน์ เราสามารถดูจบจากรูปได้เลย หากเป็นพระแท้ก็ส่งทีมงานไปรับถึงที่บ้าน หรือหากใครสนใจสามารถไปที่หน้าร้านได้ที่ ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค ชั้น G ถนนศรีนครินทร์
เมื่อธุรกิจแรกเริ่มไปได้ดี จึงเริ่มสร้างธุรกิจใหม่ โดยเริ่มต้นจากสิ่งที่ชอบ และความเป็นตัวตนของเรา ศึกษารายละเอียดและเก็บข้อมูลอยู่ระยะเวลาหนึ่ง จึงเริ่มทำแบรนด์สินค้าซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก ภายใต้ แบรนด์ “Linlamoon” โดยมีสินค้าหลักขายดีสามารถสร้างรายได้หลักแสนต่อเดือน คือ เซรั่มบำรุงคิ้ว “Linlamoon Eyebrows Baby Soothing Serum” และเซรั่มผมหนา “Linlamoon Hair Baby Soothing Serum” ซึ่งกว่าแบรนด์จะติดตลาดและได้รับความนิยม เน่ วิชรัตน์ ได้อยู่ในทุกขั้นตอนการผลิตรวมทั้งการทำการตลาดออนไลน์เองด้วย
“ธุรกิจภายใต้แบรนด์ลินละมุน (Linlamoon) เราเริ่มต้นขึ้นมาจากเรื่องราวใกล้ตัว ด้วยความที่เราเป็นแม่ มี Pain Point ของตัวเองเรื่องผมบางผมน้อย และเรามองว่าตลาดของแม่และเด็กยังไปได้อีกไกล
โดยปกติคนเป็นแม่ก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าให้ลูก ก็จะดูเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก มากกว่าเรื่องของราคาสินค้า ตอนนั้นเรามองว่าตลาดสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กยังมีคนทำไม่เยอะ จึงเริ่มทำแบรนด์นี้ขึ้นมา เราดูแลจัดการทุกธุรกิจด้วยตนเอง เพราะเราคิดเสมอว่า ไม่มีใครรู้ดีกว่าเรา ส่วนทีมงานอื่นๆ ก็ใช้ OUTSOURCE บ้าง เพื่อที่ตัวเองจะได้มีเวลามาโฟกัสกับการตลาดออน์ไลน์อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งไลฟ์ขายของเอง ยิงแอดโฆษณาเอง หรือแม้แต่กระทั่งทำคอนเทนต์โปรโมตเอง ซึ่งยอดจำหน่ายตั้งแต่เปิดตัวมาประมาณปีกว่า ก็มีรายได้ที่พึงพอใจ ประมาณ 1-1.5 แสนบาทต่อเดือน”
สำหรับคุณแม่ท่านไหน ที่มองหาผลิตภัณฑ์สำหรับลูกน้อย เพื่อตอบโจทย์เรื่องของผม คิ้ว ดกดำ ที่ช่วยบำรุงขนตา ขนคิ้ว ไรผม ในแท่งเดียว เด็กเล็กสามารถใช้ได้ เพราะลินละมุน (Linlamoon) ใช้ส่วนผสมพรีเมี่ยมจากต่างประเทศ สารสกัดจากออร์แกนิค ปลอดภัย 100% มีส่วนผสมจากอัญชันรูปแบบใหม่ที่มาในรูปแบบเซรั่ม เรียกว่า เป็นหนึ่งในไอเท็มเด็กที่กลุ่มแม่ๆ ให้ความสนใจ ใช้ดีบอกต่อ โดยมีรีวิวจากผู้ใช้จริงแน่นในทุกแพลตฟอร์ม นอกจากเด็กเล็กใช้ได้แล้ว กลุ่มผู้หญิงที่มีปัญหาคิ้วบาง ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน และสำหรับใครที่สนใจเซรั่มคิ้วหนา ผมดก สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ทุกช่องทางของแบรนด์ Linlamoon อาทิ Shopee Lazada หรือเพจ https://www.facebook.com/Linlamoongroup
หากถามว่ากุญแจสู่ความสำเร็จในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในวันนี้คืออะไร นั่นคือ “ความจริงใจ ซื่อสัตย์ และการสร้างความแตกต่างอย่างมีคุณค่าให้กับแบรนด์” เพราะแน่นอนว่าในตลาดสินค้าออนไลน์เราจะเจอกับคู่แข่งเยอะมาก นอกจากความจริงใจแล้ว เราจะใช้วิธีที่ดูว่าอะไรคือการสร้างความแตกต่าง ให้ลูกค้าเห็นว่าสินค้าเรามีประโยชน์เพื่ออะไร และทำไมถึงต้องเลือกเรา
สำหรับใครที่อยากเริ่มสร้างแบรนด์หรือทำธุรกิจของตนเอง อาจจะเริ่มจากสิ่งใกล้ตัว ทำในสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา รักในสิ่งที่เราทำ เราชอบอะไร เสื้อผ้า รองเท้า ของใกล้ตัว หรือไลฟ์สไตล์แบบไหนที่เราคิดว่า เราจะอยู่กับสิ่งนั้นได้นานที่สุด ฝันเล็ก ฝันใหญ่ไม่สำคัญขอเพียงแค่ คิดแล้วลงมือทำ เพราะถ้าเรารักในสิ่ง ๆ นั้นไม่ว่าเกิดปัญหาแค่ไหน เราก็จะไม่ย่อท้อ และพยายามพาสิ่งนั้นไปสู่ความสำเร็จได้
#สำนักข่าวการศึกษาไทย